Computing Science

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เปิดตัว EOS R กล้อง Mirrorless

เปิดตัว EOS R กล้อง Mirrorless ระดับ Full Frame รุ่นแรกจาก Canon ปฏิวัติสู่อนาคต

ลุยตลาด Mirrorless เต็มตัว เผยโฉม Canon EOS R กล้อง Mirrorless ระดับ Full Frame ตัวแรกของค่าย พร้อมเปิดตัวเลนส์ RF Mount (เผื่องอก) 4 รุ่น และ Mount Adapter สำหรับ RF อีก 3 รุ่น
หลังปล่อยให้อีกค่าย (ค่ายหมี) ครองตลาดนี้มานาน ล่าสุดทาง Canon ก็ขอท้าชิงด้วย พบกับ Canon EOS Rกล้อง Mirrorless ระดับ Full Frame ตัวแรกของ Canon และเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัว EOS ภายใต้แนวคิดหล่อ ๆ ว่า “Reimagine Optical Excellence” หรือ “ปฏิวัติสู่อนาคต”
Canon EOS R มาพร้อมชิป DIGIC 8 รุ่นใหม่ล่าสุด ใช้เซ็นเซอร์ CMOS Full Frame ขนาด 35 มม. ความละเอียด 30.3 ล้านพิกเซล มีจุดออโต้โฟกัส 5,655 จุด ชูฟีเจอร์ Dual Pixel CMOS AF พร้อมเครมโฟกัสไวที่สุดในโลก !!
จุดน่าสนใจคือ หลังกล้องมีช่อง Multi-Function Bar หรือ M-Fn แถบสั่งการแบบสัมผัสเล็ก ๆ เอาไว้ใช้ปรับค่าหรือเลื่อนไฟกัสได้สะดวก นอกจากนี้ยังมีจอ LCD แบบสัมผัสและปรับหมุนได้
นอกจากกล้องแล้ว Canon ยังเปิดตัวชุดเลนส์ใหม่อย่าง RF Mount ประเดิมด้วย 4 รุ่นแรกอาทิ RF24-105mm f/4L IS USM, RF50mm f/1.2L USM, RF28-70mm f/2L USM และ RF35mm f/1.8 MACRO IS STM กับมี Mount Adapter สำหรับ RF อีก 3 รุ่น และอุปกรณ์เสริมอย่าง แบตเตอรี่กริป BG-E22 และ แฟลชเสริมภายนอก Speedlite EL-100 ขนาดเล็ก
สำหรับราคา Canon EOS R เฉพาะ Body อยู่ที่ 2299 เหรียญฯ หรือประมาณ 76,000 บาท กับ Canon EOS R Body + เลนส์ Kit (24-105mm F4L) อยู่ที่ 3399 เหรียญฯ หรือประมาณ 111,600 บาท ราคาในไทยยังไม่เผยแต่จะเริ่มจำหน่ายในช่วงกลางเดือนตุลาคม 2561 นี้ครับ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.canon-asia.com/EOSR 

คุณสมบัติเด่นของกล้องแคนนอน EOS R

  • ช่วงความไวแสงกว้าง ISO 100-40,000
  • ชิปประมวลผลภาพ DIGIC 8 รุ่นใหม่ล่าสุด
  • จุดออโต้โฟกัส 5,655 จุด ครอบคลุมพื้นที่การทำงาน 100% ในแนวตั้ง และ 88% ในแนวนอน
  • ระบบออโต้โฟกัสที่ดวงตา (Eye Detection AF)
  • ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Dual Sensing IS ชดเชยความเร็วชัตเตอร์ได้สูงสุดถึง 5 สตอป (สำหรับภาพนิ่ง)
  • โฟกัสไวที่สุดในโลก เพียง 0.05 วินาที ด้วย Dual Pixel CMOS AF
  • โฟกัสภาพในที่แสงน้อยได้ถึง EV -6
  • ช่องมองภาพอิเลกทรอนิกส์ (EVF) เทคโนโลยี OLED ความละเอียด 3.69 ล้านจุด ครอบคลุมองศาการมอง 100%
  • จอ LCD ทัชสกรีนแบบปรับหมุนได้ สะดวกในการถ่ายภาพหลากหลายมุม รวมถึงการเซลฟี่
  • รุ่นแรกของแคนนอน ที่มีโหมด FV exposure เพื่อใช้ในการปรับตั้งค่าต่างๆ แบบออโต้แบบโดยตรงในโหมดเดียว ทั้งความเร็วชัตเตอร์ รูรับแสง และค่าความไวแสง โดยไม่ต้องละสายตาจากช่องมองภาพ
  • โหมด Silent Shutter
  • พร้อมจอ LCD ด้านบนตัวกล้อง แสดงข้อมูลการตั้งค่าที่สำคัญของกล้อง
  • บันทึกภาพเคลื่อนไหวคมชัด ระดับ 4K ที่ 30p/25p (3840 x 2160 พิกเซล)
  • รองรับ Canon Log
  • รองรับช่องต่อ HDMI
  • ปรับค่ารูรับแสงได้ 1/8 สตอป ขณะบันทึกภาพเคลื่อนไหว
  • ฟังก์ชั่น MF peaking ช่วยในการโฟกัสแบบแมนนวล
  • ระบบปรับแสงอัตโนมัติ (Auto Lighting Optimizer)
  • Dual Pixel Raw ปรับแก้ไขระยะโฟกัส micro-adjustment ได้ในตัวกล้อง
  • เพิ่มทางเลือกด้วยเพื่อให้ได้ไฟล์ขนาดเล็กด้วย ไฟล์ฟอร์เมต C-RAW
  • 54mm diameter RF mount รองรับการใช้งานร่วมกับ RF Mount Adapter เพื่อใช้งานร่วมกับเลนส์ในตระกูล EF และ EF-S
  • ออกแบบกริปให้มีความลึก จับถนัด กระชับมือ ตามหลักการยศาสตร์
  • ตัวกล้องทนทาน ผลิตจากแมกนีเซียมอัลลอย พร้อมซีลกันละอองน้ำและฝุ่น
ที่มา : Canon Thailand 

ลือ Google อาจเผยโฉม Pixelbook รุ่นใหม่ ในงานเปิดตัว Pixel 3 ด้วย

ลือ Google อาจเผยโฉม Pixelbook รุ่นใหม่ ในงานเปิดตัว Pixel 3 ด้วย

หลัง Google ร่อนการ์ดเชิญสื่อมางาน “I <3 NY” ที่คาดว่าจะเปิดตัวสมาร์ทโฟน Pixel 3 และ Pixel 3 XL รุ่นใหม่ ล่าสุดข้อมูลเผยว่า Google อาจเปิดตัว Pixelbook รุ่นใหม่ด้วย
พบเบาะแสใหญ่ 2 จุด ชี้ Google อาจเผยโฉม Pixelbook ตัวใหม่เร็ว ๆ นี้ หรือเปิดตัวในงาน “I <3 NY” วันที่ 9 ตุลาคม 61 นี้เลย โดยเปิดตัวพร้อมกันกับ Pixel 3 และ Pixel 3 XL สองสมาร์ทโฟนระดับ Hi-End ตัวใหม่ของ Google เลย
เบาะแสแรก มาแจกคลิปหลุดใน Youtube ที่เผยแพร่โดย Chrome Unboxed เว็บไซต์ปล่อยข่าวลือชื่อดัง เผยให้เห็นอุปกรณ์ Chrome OS ตัวหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายแท็บเล็ตพร้อมคียบอร์ด คาดเป็นแท็บเล็ตจากตระกูล Pixel ตัวใหม่ ที่ Google พัฒนามาสู้ Surface โดยเฉพาะ ซึ่งอาจมาในชื่อ “Nocturne” หรือ “Atlas” ตามที่ Chrome Unboxed ว่ามา
เบาะแสที่สอง เป็นภาพโฆษณาจาก Google เองเลย โดยในภาพเผยให้เห็น Pixelbook ตัวหนึ่ง ที่มีขอบหน้าจอบางกว่าปกติมาก แทบจะไร้ขอบเลย (Pixelbook รุ่นปัจจุบันมีขอบหน้าจอหนามาก) คาดเป็น Pixelbook รุ่นปรับปรุงตัวใหม่ หรืออาจเป็นความผิดพลาดของคนทำภาพโฆษณานี้ก็เป็นได้
สำหรับ Pixelbook นับตั้งแต่เปิดตัว ปัจจุบันมีอายุได้เกือบปีแล้ว โดยเป็นโน๊ตบุ๊คหรือ Chromebook ระดับ Hi-End ของ Google ที่ชูเรื่องความบางเบาเป็นพิเศษ ส่วนตอนนี้ก็มีความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นมาแล้วว่า ในงาน “I <3 NY” นอกจาก Pixel 3 และ Pixel 3 XL อาจมี Pixelbook ตัวใหม่ ‘อีก 2 รุ่น’ มาเผยโฉมในงานด้วยแน่ ๆ ครับ
ที่มา : The Next Web

เหตุใด Apple Watch Series 4 กับการวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ จึงมีความสำคัญ

เหตุใด Apple Watch Series 4 กับการวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ จึงมีความสำคัญ

คลื่นไฟฟ้าหัวใจหรือ EKG (หรือ ECG ตามที่แอปเปิ้ลเรียก) อาจจะเป็นนวัตกรรมสำคัญที่จะเข้ามาช่วยมนุษย์ในเรื่องของการตรวจสอบทางการแพทย์
อย่างที่ทราบกันดีว่า Apple Watch Series 4  ที่พึ่งเปิดตัว ได้รวมเทคโนโลยีการตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจขั้นสูงที่เรียกว่า “คลื่นไฟฟ้าหัวใจ”  โดยคุณลักษณะนี้ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA)
นั่นหมายความว่าอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถใช้เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันที่เพิ่มขึ้นของ Apple ในการที่จะสร้างแบรนด์นาฬิกาเป็นมากกว่าอุปกรณ์ออกกำลังกาย
สำหรับ Apple Watch Series 4 นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้รัับการยกย่องจากทั่วโลกตั่งแต่เปิดตัว  Apple Watch เมื่อสามปีก่อน
โดยที่ผ่านมา Apple Watch รุ่นก่อนหน้านี้มีวิธีการวัดอัตราการเต้นของหัวใจอยู่แล้ว เช่นเดียวกับอุปกรณ์ wearable ทั่วไป จะตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจโดยใช้ไฟ LED สีเขียวที่ฝังอยู่ในตัวเครื่อง โดยแสงจะสะท้อนบนผิวเพื่อตรวจจับชีพจนและการเปลี่ยนแปลงของปริมาณเลือด ซึ่งจะนำไปคำนวนและแสดงผลอัตราการเต้นของหัวใจ
แน่นอน วิธีข้างต้นค่อนข้างสะดวก เพียงแค่ใส่ ก็วัดได้เลย แต่อย่าลืมไปว่า ข้อมือไม่ได้เป็นจุดที่ดีที่สุดในการวัดค่าของหัวใจ เพราะเซ็นเซอร์ต้องพยายามแสกนผ่านชั้นเนื้อเยื่อมากมายเพื่อเก็บข้อมูล จึงอาจจะทำผลลัพธิ์ที่ได้รับ อาจไม่ตรงนัก
โดยใน Series 4 เพียงแค่ผู้ใช้วางนิ้วลงบนปุ่ม Digital Crown (ปุ่ม Home น่ะแหละ) ระบบจะทำกลไกแบบ single-lead handheld device ที่ใช้ข้อมือซ้ายเป็น (+) และนิ้วขวาเป็น (-) กับ ground นาฬิกาจะตรวจสอบคลื่นสัญญาณจากหัวใจโดยตรงผ่านชีพจรบนนิ้ว โดยวิธีจะแม่นยำว่าการแปลงค่าชีพจรของเซ็นเซอร์ กระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 30 วินาที และผู้ใช้จะได้รับการจำแนกจังหวะการเต้นของหัวใจ ว่ามีความผิดปกติของหัวใจหรือเปล่า โดยข้อมูลทุกอย่างจะถูกเก็บอยู่ใน  Apple Health
ทั้งนี้ EKG เป็นคุณลักษณะที่สำคัญและเป็นขั้นตอนต่อไปสำหรับแอ็ปเปิ้ลในฐานะ บริษัท ด้านสุขภาพ ที่สามารถใช้เพื่อวินิจฉัยหรือตรวจสอบโรคหัวใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น โดยข้อมูลจากองค์กรอนามัยโลก ได้ยกให้โรคหัวใจเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเสียชีวิตทั่วโลกได้มากที่สุด
นาฬิกาแอ็ปเปิ้ล 4 Series ใหม่จะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 21 กันยายน แต่จะมีการแจ้งเตือน EKG หรือการแจ้งเตือนความผิดปกติของอัตราการเต้นของหัวใจในสิ้นปีนี้ นั่นแปลว่าตอนนี้ยังทำใด้แค่วัดอัตราการเต้นของหัวใจก่อน ส่วนการวินิจฉัยโรคเกี่ยวกับหัวใจนั้นยังมีดราม่าเรื่องความไม่แน่นอนอยู่
โดยตามคำนิยามของ  12-lead ECG ของการวัดค่าการเต้นของหัวใจ จะวิเคราะห์รูปคลื่นไฟฟ้าที่บันทึกระหว่างขั้วบวก ขัวลบเป็นคู่ๆ (lead) หลายๆตำแหน่ง หลายๆมุม เช่น ห้องหัวใจห้องนี้ไปขา หัวใจห้องนี้ไปแขน หัวใจห้องนี้ไปหน้าอก จึงจะใช้วินิจฉัยโรค จากรูปคลื่นมุมต่างๆมาผสมกัน
แต่นาฬิกา apple ทำได้แค่ตรวจคลื่นไฟฟ้าคู่ขั้วบวกลบเดียว มุมเดียว แต่เคลมว่ามีประโยชน์ต่อผู้ป่วยมาก  คือเอาจริงๆก็ถือว่ายกระดับมาตรฐานนาฬิกาเพื่อสุขภาพขึ้นมากๆจริง  เพราะมันวัดระดับการเต้นของหัวใจได้เม้นยำมากขึ้น แต่ระดับเอามาใช้งานทางการแพทย์จริงจัง ยังไม่สามารถได้ทั้งหมด
เพราะการตรวจของเครื่อง สามารถวัดได้แค่ค่าเดียวเท่านั้น โดยต้องบอกว่า Apple อาจจะยังไม่สามารถทำได้ไกล้เคียงกับอุปกรณ์ทางการแพทย์สักเท่าไหร่ เพราะการวัดค่าหัวใจแล้ววิเคราะห์โรคนั้นยังต้องพึ่งการคำนวนจากหลาย ๆ อย่างไมใช่แค่เพียงวิเคราะห์อัตราหการเต้นหัวใจอย่างเดียว ซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ณ ตอนนี้

สรุปคือ 

1.เครื่องวัดค่าหัวใจทางการแพทย์ จะวิเคราะห์รูปคลื่นไฟฟ้าที่บันทึกระหว่างขั้วบวก (+) ขั้วลบ (-) เป็นคู่ๆ
2.การวิเคราะห์รูปคลื่นไฟฟ้าให้ได้มารตฐานจะต้องวัดทั้ง 12 Lead หรือก็คือ 12 มุม 12 รูปแบบคลื่นไฟฟ้า เช่นหัวใจห้องนี้วิ่งไปแขน หังใจห้องนี้วิ่งไปขา  และใช้ค่าในส่วนต่าง ๆ มาอิงเพื่อวินิจฉัยโรค
3.Apple Watch อ่านค่าหัวใจโดยใช้ ข้อมือซ้ายเป็นขั้วบวก (+)  และใช้นิ้วขวาเป็นขั้วลบ (-)
4.Apple Watch อ่านค่าได้แค่ Lead เดียว จากทั้งหมด 12 Lead
5.การวินิจฉัยภาวะการเต้นผิดปกติของหัวใจ อาจจะใช้ Apple Watch วินิจฉัยได้ แต่ความแม่นยำจะต่ำมาก
6.ดังนั้น การจะหาสาเหตุของโรคได้แม่นยำ จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่สามารถอ่านค่าได้ทั้ง 12 Lead

เปิดค่าซ่อม iPhone Xs Max จอแตก

เปิดค่าซ่อม iPhone Xs Max จอแตกหมื่นบาทต้น ๆ เครื่องพัง 2 หมื่นบาท !!

หลังเปิดตัว iPhone Xs และ Xs Max ไปไม่นาน ล่าสุดทาง Apple ได้เผยราคาซ่อมของทั้ง 2 รุ่นแล้ว เปิดราคาค่าซ่อม ‘ที่แพงทีสุด’ ในบรรดา iPhone รุ่นก่อน ๆ ที่ Apple เคยเปิดตัวมา
เปิดราคามาที่ 1,099 เหรียญฯ หรือประมาณ 36,000 บาท สำหรับ iPhone Xs Max สมาร์ทโฟนระดับเรือธงตัวใหม่ล่าสุดของ Apple (รุ่น 512GB ทะลุไป 1,499 เหรียญฯ หรือประมาณ 49,000 บาทเรียบร้อย…) แน่นอนว่า นี้คือ iPhone รุ่นที่แพงที่สุดเท่าที่ Apple เคยมี รวมไปถึงค่าซ่อมด้วยเช่นกัน !!
จากล่าสุดที่ทาง Apple ได้เผยตารางค่าซ่อมของ iPhone ใหม่ โดยเพิ่ม iPhone Xs และ iPhone Xs Maxเข้ามา พบราคาค่าซ่อมของทั้ง 2 รุ่นอันน่าตกใจตามนี้ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ Apple Support)
สำหรับ iPhone Xs Max มีราคาซ่อมกรณีจอแตกที่ 329 เหรียญฯ หรือประมาณ 10,800 บาท และหากกรณีเครื่องพังหรือเสียหายจนใช้การไม่ได้ (จนต้องใช้เครื่องสำรองระหว่างรอซ่อมไปก่อน) ก็มีค่าซ่อมโดยรวมประมาณ 599 เหรียญฯ หรือประมาณ 19,600 บาท กันเลย
ถ้าเป็นรุ่น iPhone Xs จอแตกก็ 279 เหรียญฯ หรือประมาณ 9,200 บาท เครื่องพังก็ 549 เหรียญฯ หรือประมาณ 18,000 บาท ซึ่งราคาค่าซ่อมเท่ากับรุ่น X (เลิกขายแล้ว…) ส่วน iPhone XR ยังไม่เผย
อย่างไรก็ตาม ราคาซ่อนนี้อาจมีความเปลี่ยนแปลงไปตามเคสต่าง ๆ โดยราคาซ่อมก็ประมาณนี้เลย แน่นอนว่าใครที่ไม่มีประกัน AppleCare+ ก็เตรียมหาเคสกับฟิล์มกันกระแทกดี ๆ มาใส่ หรือรักษายิ่งชีพแทนครับ ระวังด้วยเน้อ Be Careful : D
ที่มา : Apple.com , BGR

เปิดตัว GoPro HERO7 Black

เปิดตัว GoPro HERO7 Black มาพร้อมฟีเจอร์ลดการสั่นไหวเหมือนมีกิมบอลติดตั้งในตัวกล้อง

GoPro, ด้ประกาศเปิดตัวกล้อง GoPro HERO7 Black และรุ่นใหม่อีก 2 ตัว รวมทั้งกล้องฮีโร่ประจำรุ่นนี้ คือ HERO7 Black พร้อมราคาเปิดตัวที่ 14,500 บาท ซึ่งนับเป็นการยกระดับมาตรฐานใหม่ให้กับการบันทึกวิดีโอที่ลื่นไหลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยระบบลดการสั่นไหวของวิดีโอ HyperSmooth
HyperSmooth คือ ระบบลดการสั่นไหวของวิดีโอ แบบติดตั้งในตัวกล้องที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถบันทึกวิดีโอได้อย่างลื่นไหลราวกับมืออาชีพ โดยไม่ต้องใช้กิมบอลเป็นตัวช่วยในการถ่ายวิดีโออีกต่อไป นอกจากนี้ HyperSmooth ยังมีความทนทาน สามารถกันน้ำได้ และใช้งานได้แม้ขณะมีลมแรง ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ กิมบอลยังไม่สามารถทำได้ ลองดูด้วยตัวคุณเอง แล้วคุณจะรู้
นอกจากนี้ GoPro HERO7 Black ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์การบันทึกวิดีโอรูปแบบใหม่ล่าสุด ที่มีชื่อว่า TimeWarp ช่วยให้สามารถบันทึกวิดีโอได้แบบความเร็วสูง ไร้การสั่นไหว และลื่นไหลอย่างเหลือเชื่อ ให้ผู้ใช้งานสามารถบันทึกวิดีโอเป็นระยะเวลานานได้อย่างไม่มีสะดุด และสามารถร่นระยะเวลาทั้งหมดของวิดีโอนั้นๆ ลงมาให้เหลือได้เพียงไม่กี่วินาที และยังสามารถแชร์วิดีโอออกไปได้อย่างง่ายดาย
หากพูดถึงเรื่องการแชร์ คงไม่มีการแชร์รูปแบบใดที่จะรวดเร็วไปมากกว่าการถ่ายทอดสด (live) โดย HERO7 Black คือกล้อง GoPro รุ่นแรกที่มีฟีเจอร์ สตรีมมิ่งไลฟ์ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถแชร์วิดีโอของตนเองลงโซเชียลมีเดียต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ เช่น Facebook, Twitch, YouTube, Vimeo ฯลฯ นับเป็นวิธีการแชร์เรื่องราวของคุณ ณ โมเม้นท์ที่กำลังเกิดขึ้นในรูปแบบใหม่ ที่ทั้งน่าสนใจ น่าตื่นเต้น และสะดวกสบายมากขึ้นกว่าที่เคย
นิค วูดแมน ผู้ก่อตั้งแบรนด์ GoPro กล่าวว่า “HERO7 Black คือกล้อง GoPro ที่พวกเราทุกคนรอคอย ด้วยระบบกันสั่น HyperSmooth ที่ช่วยให้ HERO7 Black กลายเป็นกล้องที่ทุกคนสามารถบันทึกวิดีโอได้ลื่นไหลอย่างไม่น่าเชื่อ มอบผลลัพธ์วิดีโอที่ดูราวกับผลงานมืออาชีพในทุกๆ กิจกรรมที่แต่ละคนชื่นชอบ และยังสามารถสตรีมมิ่งวิดีโอของตัวเองได้ทันทีแบบเรียลไทม์”
คุณสมบัติของ HERO7 Black (14,500 บาท):
  • การลดการสั่นไหวของวิดีโอด้วย HyperSmooth – ลดการสั่นไหวเหมือนกิมบอล โดยไม่ต้องใช้กิมบอล
  • สตรีมมิ่งไลฟ์ – แชร์เรื่องราวในขณะที่คุณกำลังทำอยู่ด้วยสตรีมมิ่งวิดีโอ พร้อมทั้งบันทึกวิดีโอที่สตรีมลงในการ์ด SD ในความละเอียดสูงได้
  • วิดีโอ TimeWarp – บันทึกวิดีโอไทม์แล็ปส์ที่ไร้การสั่นไหวในขณะที่คุณเคลื่อนไหวในฉาก เพิ่มความเร็วได้สูงสุด 30x
  • SuperPhoto – ถ่ายภาพที่ดีที่สุด โดยอัตโนมัติ ด้วยระบบ HDR, Local Tone Mapping และการลดเสียงรบกวนอย่างชาญฉลาด (Multi-Frame Noise Reduction) เพื่อปรับแต่งการถ่ายภาพของคุณ
  • ถ่ายภาพแนวตั้ง – บันทึกภาพถ่ายและวิดีโอในแนวตั้ง ซึ่งเหมาะสำหรับแชร์ลง Snapchat และ Instagram Stories
  • ระบบเสียงที่ดีขึ้น – ปรับแต่งระบบเสียงเพื่อรองรับการจับรูปแบบเสียงได้กว้างขึ้น พร้อมทั้งวัสดุไมโครโฟนรูปแบบใหม่ที่ช่วยลดเสียงสั่นสะเทือนหากบันทึกวิดีโอในสถานการณ์ที่มีการเคลื่อนไหวค่อนข้างแรง เช่น นั่งบนหลังม้า หรือขับรถบนเส้นทางขรุขระ
  • หน้าจอสัมผัสใช้งานง่าย – หน้าจอขนาด 2 นิ้ว ที่ใช้งานได้ง่ายขึ้น และสามารถใช้ถ่ายภาพแนวตั้งได้
  • การตรวจจับใบหน้า รอยยิ้ม และฉาก – HERO7 Black สามารถจดจำใบหน้า การแสดงสีหน้า และลักษณะของฉากได้ เพื่อช่วยให้สามารถตัดต่อวิดีโอผ่าน QuikStory บนแอพ GoPro ได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  • คลิปสั้น – บันทึกคลิปวิดีโอได้สูงสุด 15 – 30 วินาที เพื่อส่งเข้าโทรศัพท์มือถือ ตัดต่อ และแชร์วิดีโอได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ใช้ใหม่และเด็ก
  • ตัวตั้งเวลาภาพถ่าย – นับเวลาถอยหลังได้ เพื่อการถ่ายรูปเซลฟี่ หรือภาพหมู่ ได้สะดวกยิ่งขึ้น
  • ความละเอียดภาพระดับสูง – วิดีโอ 4K60 และภาพถ่าย 12MP
  • วิดีโอที่ช้าลงมากกว่าเดิม – วิดีโอ 8x slow motion ความละเอียด 1080p240
  • ทนทานและกันน้ำ – แชร์ประสบการณ์ที่คุณบันทึกไม่ได้ด้วยโทรศัพท์ HERO7 Black ทนทานและกันน้ำโดยไม่ต้องใส่ กรอบใด ๆ ลึกถึง 10 เมตร
  • การควบคุมด้วยเสียง – ควบคุมบบแฮนด์ฟรีด้วยคำสั่งเสียงได้มากถึง 14 ภาษา
  • โอนย้ายไปยังโทรศัพท์อัตโนมัติ – ภาพถ่ายและวิดีโอของคุณจะย้ายไปยังโทรศัพท์ของคุณได้โดยตรงเมื่อเชื่อมต่อแอพ GoPro เพื่อให้คุณสามารถแชร์ได้อย่างรวดเร็ว
  • สติ๊กเกอร์สมรรถนะ GPS – ติดตามความเร็ว ระยะทาง และความสูง แล้วแปะสติ๊กเกอร์ในวิดีโอของคุณในแอพ GoPro เพื่อแสดงว่าคุณไปได้เร็ว ไกล และสูงแค่ไหนในขณะที่เคลื่อนไหว
  • การซูมแบบสัมผัส – จัดเฟรมภาพถ่ายและวิดีโออย่างลงตัวเพียงแค่แตะหน้าจอ
HERO7 Black Million Dollar Challenge – ถึงเวลาใช้ GoPro แล้ว
ด้วยระบบลดการสั่นไหว HyperSmooth ทำให้ HERO7 Black ช่วยให้คุณสามารถบันทึกวิดีโอแบบมืออาชีพในทุกๆ กิจกรรมที่คุณชื่นชอบ เพื่อเฉลิมฉลองการเปิดตัว HERO7 Black เราขอเชิญชวนผู้ใช้ HERO7 Black ทุกท่าน มาร่วมกิจกรรมถ่ายวิดีโอโดยไฮไลท์ระบบ HyperSmooth เพื่อชิงตำแหน่งรับส่วนแบ่งจากเงินรางวัลสูงถึง 1 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
ตั้งแต่ 27 กันยายนนี้ เป็นต้นไป คุณสามารถส่งไฟล์วิดีโอคลิปแบบ RAW ไปที่ Million Dollar Challenge โดยทีมงานครีเอทีฟของเราจะเลือกช็อตที่พวกเขาชื่นชอบมากที่สุด เพื่อนำมารวมในวิดีโอไฮไลท์ที่รวบรวมทุกคลิปโดดเด่นจากผู้เข้าร่วมกิจกรรมจากทั่วโลก โดยผู้ชนะทั้งหมดที่คลิปได้รับการคัดเลือก จะได้รับส่วนแบ่งเป็นสัดส่วนเท่าๆ กัน จากเงินรางวัลรวมทั้งหมด 1 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรม HERO7 Black Million Dollar Challenge สามารถเข้าไปดูได้ที่ GoPro.com/Awards
GoPro มีทั้งกล้องฮีโร่สำหรับทุกๆ คน รวมถึงกล้องหน้าใหม่สำหรับคนรักกิจกรรมสายโซเชียลทุกๆ วัย นอกจาก HERO7 Black แล้ว ยังมีกล้องอีก 2 ตัวที่ GoPro ยินดีนำเสนอ ได้แก่ HERO7 Silver และ HERO7 White กล้องที่สมบูรณ์แบบสำหรับคนรักการท่องเที่ยว กิจกรรม หรือ การผจญภัย ไม่ว่าจะรุ่นใหญ่ หรือรุ่นเล็ก
กล้อง HERO7 Silver (10,800 บาท) วิดีโอความละเอียด 4K และ HERO7 White (7,200 บาท) วิดีโอความละเอียด 1080p มาพร้อมความแข็งแกร่ง ขนาดเล็กกะทัดรัด และกันน้ำได้ลึกที่สุดถึง 10 เมตร เพียงแค่ออกคำสั่งผ่าน voice command หรือเพียงแค่กดปุ่มชัตเตอร์ ก็เปิดใช้งานกล้องได้อย่างง่ายดาย พร้อมบันทึกโมเม้นท์สุดพิเศษได้อัตโนมัติ และแน่นอนว่า กล้องทั้งสองตัวมาพร้อมกับวิดีโอและภาพนิ่งที่ความละเอียดระดับสูง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลให้ GoPro เป็นกล้องที่มียอดขายสูงที่สุดในอเมริกาเหนืออย่างต่อเนื่องยาวนานมามากกว่า 4 ปีครึ่ง โดยทั้ง HERO7 Silver และ White ได้รับการพัฒนาอย่างสูงในด้านระบบกันสั่น เพื่อผลลัพธ์วิดีโอที่สวยงามจากทุกๆ กิจกรรมที่คุณทำ
ข้อมูลคุณสมบัติและฟีเจอร์โดยละเอียดของกล้อง HERO7 ทุกรุ่น สามารถเข้าไปดูได้ที่บล๊อกข่าวของ GoPro The Inside Line

ไปให้สุด หลุดภาพ Samsung Galaxy A9 Star Pro กับ 4 กล้องหลัง

ไปให้สุด หลุดภาพ Samsung Galaxy A9 Star Pro กับ 4 กล้องหลัง

หลังเปิดตัว Galaxy A7 (2018) ที่มี 3 กล้องหลังไปไม่นาน ล่าสุดก็มีภาพหลุดสมาร์ทโฟนระดับกลางอีกรุ่นของ Samsung อย่าง Galaxy A9 Star Pro มาพร้อมกล้องหลังแบบ Quadruple หรือ 4 กล้องหลัง !!
มีใครให้มากกว่านี้ไหม ดูเหมือน 3 กล้องหลัง ที่เพิ่งเผยโฉมครั้งแรกใน Samsung Galaxy A7 (2018) ไม่พอซะแล้ว หลังมีภาพ Render สมาร์ทโฟนจาก Samsung อีกรุ่นหลุดออกมา โดยเผยให้เห็นถึงกล้องหลังตัวเครื่อง ที่มีมากถึง 4 เลนส์กันเลย
ในภาพมีการระบุว่าเป็น Galaxy A9 Star Pro สมาร์ทโฟนระดับกลางตัวใหม่ของ Samsung ส่วนกล้องหลัง 4 เลนส์ในภาพนั้น มีข้อมูลระบุว่า จะเป็นเลนส์ซูม 2 เลนส์ นอกนั้นเป็นเลนส์ถ่ายภาพความละเอียด 5 + 10 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้าคู่มีความละเอียด 24 + 8 ล้านพิกเซล
ด้านสเปก Galaxy A9 Star Pro คาดอาจมาพร้อมจอขนาด 6.2 นิ้ว ความละเอียด Full HD ใช้หน่วบประมวลผล Snapdragon 660 และ แบตฯ 3,730 mah ส่วนจะเป็นจริงตามนี้ไหม รอดูกันอีกทีในวันที่ 11 ตุลาคม 61 ครับ
ที่มา : Wccftech

Apple ปล่อยคลิปสอนใช้งาน iPhone XS กับ XS Max และ XR สั้น ๆ 5 นาที

Apple ปล่อยคลิปสอนใช้งาน iPhone XS กับ XS Max และ XR สั้น ๆ 5 นาที

หลังเปิดตัว iPhone XS กับ XS Max และ XR ล่าสุด Apple ได้ปล่อยคลิป ‘Guided Tour’ สอนใช้งาน iPhone รุ่นใหม่ทั้ง 3 รุ่นแล้ว โดยแบ่งเป็น 4 หมวดหลัก ๆ อาทิ Getting Around, Face ID, Depth Control, Other Cool Things
เช่นเดียวกับตอนเปิดตัว iPhone X หลังเปิดตัว iPhone XS กับ XS Max และ XR ได้ไม่นาน ทาง Apple ก็ทำคลิปสอนใช้งานออกมาแล้ว โดยใช้ผู้สอนคนเดิม เพื่มเติมคือ สอนใช้งานทีเดียวทั้ง 3 รุ่นเลย (ไหน ๆ ก็สเปกคล้ายกันหมดล่ะ ต่างแค่หน้าจอกับกล้องเท่านั้น)
ส่วนหน้าหา ก็แบ่งเป็น 4 หมวดหมู่คือ Getting Around การใช้งานเบื้องต้น และแนะนำการใช้คำสั่ง Gestures ต่าง ๆ Face ID การตั้งค่าปลดล็อคเครื่ิองด้วยใบหน้า, Depth Control การถ่ายรูปแบบหน้าชัดหลังเบลอ, และสุดท้าย Other Cool Things สอนเนื้อหาเป็นไง ลองดูกันเลยครับ
ที่มา : YoutubeApple